เผ่าภูมิ-ทีมเศรษฐกิจพรรคพท. 5 บทใหม่ประเทศไทย เดินหน้า กระเป๋าเงินดิจิทัล

เหลือเวลาอีกประมาณสามสัปดาห์เท่านั้น ก็จะถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 โดยถึงตอนนี้"พรรคเพื่อไทย"ยังเป็นพรรคการเมืองที่ทุกฝ่ายเชื่อว่าจะได้ส.ส.มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป แต่ช่วงที่ผ่านมา ประเด็นเรื่อง"นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล-10,000 บาท"ของพรรคเพื่อไทยที่ใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท ที่มาจากการบริหารระบบงบประมาณปกติและบริหารระบบภาษี ยังเป็นกระแสที่ถูกพูดถึง-วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

เพื่อให้เข้าใจถึงนโยบายดังกล่าวของเพื่อไทยให้มากขึ้น รวมถึงนโยบายสำคัญอื่นๆของเพื่อไทย ตลอดจนความเห็นทางการเมืองเรื่องผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เราได้สัมภาษณ์พิเศษ "ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล-รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย-กรรมการนโยบาย และกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย -ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย"ที่มีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่มี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชเป็นประธาน

กับคำถามแรกที่ว่า นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล หลังจากนี้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ทาง"ดร.เผ่าภูมิ-กรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย"บอกว่า ลำดับแรกต้องขอพูดถึงที่มาที่ไปของนโยบายดังกล่าวก่อนว่า เป็นนโยบายที่มีวัตถุประสงค์สองอย่าง โดยวัตถุประสงค์แรก คือ พรรคเห็นว่าประเทศไทยในปัจจุบันเสื่อมโทรมมากตลอดแปดปีที่ผ่านมา ประเทศอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ที่ผ่านมา เราอาจเห็นคนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอย เริ่มเห็นรถกลับมาติดอีก แต่เรามองตรงนี้เป็นกำลังซื้อที่เป็นกำลังซื้อเทียม ที่ออกมาอันเกิดจากการอัดอั้นในช่วงที่ไม่ค่อยได้ใช้เงิน ไม่ได้จับจ่ายใช้สอยมาตลอดสามปี แต่ถามว่าคนมีกำลังซื้อ มีเงินในกระเป๋าเยอะขึ้นหรือไม่ในช่วงสามปีที่ผ่านมาที่เจอปัญหาโควิด คำตอบคือทรุดโทรมลงไปเยอะ เขาออกมาจับจ่ายใช้สอยทั้งที่เขาไม่มีเงิน เพราะเขารู้สึกอัดอั้น เขารู้สึกว่าต้องมาจับจ่ายใช้สอย แต่ถามว่าสถานะการเงินของเขาย่ำแย่ไหม ก็ต้องบอกว่าย่ำแย่มาก

ประเทศไทยเต็มไปด้วยหนี้ เต็มไปด้วยการมองไม่เห็นทิศทางในอนาคตว่าจะเดินไปทางไหน จีดีพีของเราก็โตช้า เศรษฐกิจโลกก็ย่ำแย่ เราจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างหนัก เพราะมีเรื่องวิกฤตธนาคาร-วิกฤตเรื่องพลังงาน ปัญหาเรื่องห่วงโซ่การผลิตของประเทศ ปัญหาสงครามการค้า กำลังซื้อจากต่างชาติก็ไม่มี ทั้งหมดยังแย่อยู่

พรรคเพื่อไทย มองว่าตรงนี้คือปัญหา ดังนั้น การกระตุ้นครั้งใหญ่ต้องเกิดขึ้นเพื่อปลุกชีวิตของประเทศขึ้นมา เราปลุกเศรษฐกิจของประเทศขึ้นมาระดับหนึ่งจากที่อยู่ไอซียู และวันนี้ เราจะปลุกแรง-ปลุกด้วยเงินห้าแสนกว่าล้านบาท ที่ไม่ใช่แค่ปลุกให้ฟื้นเฉยๆ เราปลุกเสร็จ เราจะทำกายภาพบำบัด เราจะพาคนไทยวิ่งแล้ว เพราะเราเตรียมโครงการเราไว้เยอะ

พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายในการเลือกตั้งครั้งนี้ร่วม 70 นโยบาย ซึ่งหากประเทศยังไม่พร้อม ประเทศยังอยู่ในไอซียู ยังหยอดน้ำข้าวต้มกันอยู่ 70 นโยบายของเรา ก็จะมีประสิทธิภาพไม่สูงนักในการที่จะเอามาใช้ เพราะฉะนั้น เราต้องปลุกประเทศให้แข็งแรง พร้อมวิ่ง และเมื่อประเทศพร้อมวิ่งภายในหกเดือน ที่ใช้โครงการนี้ เราก็จะเสริมต่อด้วย70 นโยบายของเราที่จะต่อเชื่อมกันพอดี เมื่อประเทศไทยเริ่มแข็งแรงขึ้น เราใส่นโยบายของเราเข้าไป ประเทศก็จะพร้อม สิ่งนี้คือมิติที่หนึ่ง กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่          

มิติที่สอง เราทำนโยบายดังกล่าวเพื่อต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้กับประเทศ และระบบการชำระเงิน ปัจจุบันโลกเริ่มมีการพัฒนาเรื่องของเงินดิจิทัล ระบบการชำระเงินที่ไม่ใช่ระบบเดิมเกิดขึ้น ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เราจำเป็นที่ต้องสร้างระบบการชำระเงินที่ใช้บล็อกเชน เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้เท่าทันโลก ตรงนี้มันคือโอกาสและความจำเป็น

แต่ก่อนที่เราจะใส่เงินหนึ่งหมื่นเข้าไป เราต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานก่อน ประชาชนทุกคนต่อจากนี้จะมี account ด้วยกันสองบัญชี คือบัญชีออมทรัพย์ที่ผูกกับธนาคาร ที่เป็นบัญชีปกติ และอีกหนึ่งบัญชี คือกระเป๋าเงินดิจิทัล ประชาชนจะมีสองอัน แล้วเราจะพร้อมสำหรับสองรูปแบบการเงินดังกล่าว ราใช้เงิน 10,000 บาทในการที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนทุกคนมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกๆในโลก ที่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของประชากร ใช้ระบบการชำระเงินที่ใช้บล็อกเชนดังกล่าว

-เสียงทักท้วงเชิงว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะเริ่มดีขึ้น มีการขยายตัว มีรายได้จากส่วนต่างๆ เช่น จากการท่องเที่ยว รวมถึงการที่มีการเลือกตั้ง ก็ทำให้มีเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแล้วเพราะหากทำจะมีผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง?

ผมขอตอบเรื่องวินัยการเงินการคลังก่อน ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาเรื่องวินัยการเงินการคลัง เพราะเราไม่ได้ใช้เงินกู้ เงินทั้งหมดที่ใช้ เกิดจากระบบภาษี และการบริหารงบประมาณ เราจะใช้ 270,000 ล้านบาท ที่มาจากภาษีที่จะจัดเก็บได้เยอะขึ้นในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 และที่จะสามารถเกลี่ยได้จากงบประมาณรายจ่ายไม่มีประสิทธิภาพอีกประมาณแสนกว่าล้านบาท เป็นงบประมาณที่อยู่ในระบบงบประมาณเก่าๆ ที่ตั้งงบแบบเดิมๆ เช่น งบอบรมสัมมนาที่มีปัญหามาก งบจ้างที่ปรึกษา งบที่เอาทหารไปสอนความรู้ให้คน โดยที่ไม่ได้มีความรู้อะไรในสิ่งที่ตัวเองสอน เป็นการใช้งบที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะเข้าไปดู และงบในส่วนที่่จะมาจากการเกลี่ยในส่วนของงบสวัสดิการที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะเอามาใช้ในโครงการนี้

เราจึงสามารถบริหารจัดการเรื่องของภาษี โดยไม่ต้องขึ้นอัตราภาษีโดยใช้วิธีการเกลี่ยงบประมาณต่างๆ เพื่อให้นำมาใช้ในโครงการนี้ได้โดยที่ไม่ต้องกู้ จึงเป็นการทำนโยบายที่จะไม่กระทบกับวินัยการเงินการคลังของประเทศ แต่ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จะลดลงเสียด้วยซ้ำ เพราะเราควักเงินจากส่วนที่มีประสิทธิภาพน้อยในงบประมาณที่ใช้กันแบบเละเทะ เพื่อนำมาใช้ทำสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูง หนี้ต่อจีดีพี ก็จะลด

ส่วนที่บอกว่าตอนนี้เศรษฐกิจดีแล้ว ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่ามันคือกำลังซื้อเทียม ที่คนออกมาจับจ่ายใช้สอยต่างๆ เป็นกำลังซื้อเทียม นักท่องเที่ยวที่เข้ามาก็มีปัญหาเพราะเศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัว กำลังซื้อของเขาก็น้อย

นโยบายดังกล่าวคือการเตรียมความพร้อมเศรษฐกิจให้แข็งแรง ให้คนแข็งแรงขึ้น คือไม่ได้ปลุกโดยชุบชีวิตจากที่ตายให้กลับมารอด แต่เงินจากนโยบายดังกล่าว จะเป็นการพาไปทำกายภาพบำบัด ให้เขาใส่ชุดวอร์มใส่รองเท้าเตรียมวิ่ง เพื่อที่เตรียมรองรับนโยบายอีกชุดหนึ่งของเพื่อไทยที่จะเข้ามาอีก มันก็จะเป็นสองมิติ คือกระตุ้นจากความตายและเตรียมความพร้อมให้เขาพร้อมสำหรับการวิ่ง

โครงการดังกล่าวไม่อยากให้มองเป็นเรื่องการแจกเงิน แต่เป็นเรื่องการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ เพราะเราลงทุนทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และลงทุนเพื่อทำให้ประเทศพร้อมสำหรับตัวนโยบายอื่นๆ

-นโยบายดังกล่าว ถูกจับจ้องโดนวิจารณ์เยอะ บางคนก็บอกว่าหากทำจะเข้าข่ายผิดกฎหมายบางฉบับเช่น พรบ.เงินตราฯ คิดว่าทำไม นโยบายเพื่อไทยโดนจับจ้องเยอะ?

ก็เป็นนโยบายที่คนสนใจเยอะ ก็เลยมีการจับจ้อง มีความพยายามดิสเครดิต หาจุดด้อยของมัน เรื่องของเงินตรา อะไรต่างๆ ขอบอกแบบนี้ว่าเราไม่เคยบอกว่ามันคือ Cryptocurrency เราไม่เคยบอกว่ามันคือ CBDC   (Central Bank Digital Currency) เราไม่เคยบอกว่ามันคือสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีราคาขึ้นลงต่างๆ

สิ่งที่เราทำมีลักษณะเหมือนเงินดิจิทัลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคา ทุกอันมีค่าเท่ากับบาท เพราะฉะนั้น ไม่มีราคาขึ้น ไม่มีราคาลง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการซื้อขาย ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น เอาไปจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเดียว

"มันคือเงินดิจิทัล ที่ออกโดยเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่จะมีลักษณะคล้ายคูปองหรือสิทธิ์ในการใช้เงินที่เขียนเงื่อนไขไว้ข้างหลัง เช่น ให้ใช้เงินได้ภายในหกเดือน ให้ใช้ได้ภายในรัศมีสี่กิโลเมตร เพราะฉะนั้นมันมีลักษณะเหมือนคูปอง หรือสิทธิ์การใช้เงินที่ออกโดยภาครัฐ จึงไม่ใช่เงินตรา มันไม่ใช่เงินสกุลใหม่ จึงควรจบข้อโต้แย้งเพียงเท่านี้ เพราะมันไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นสิทธิ์การใช้เงิน เป็นเงินดิจิทัลที่ออกโดยบล็อกเชน"

..เงินหนึ่งหมื่นบาทดังกล่าวที่เข้าบัญชีประชาชน  สามารถซื้อได้ทุกอย่าง เอาไปเป็นค่าโดยสารขึ้นรถเมล์ ไปซื้อก๋วยเตี๋ยว หมูปิ้งกินก็ได้ ซื้อของในตลาด จ่ายค่าแท็กซี่  ไปจ่ายค่าเทอมลูกก็ได้ เอาไปทำได้หมดทุกอย่าง ยกเว้นอบายมุข การพนัน ยาเสพติด ใช้หนี้ก็ไม่ได้ โดยไม่จำกัดวงเงินการใช้แต่ละวัน อยากใช้วันเดียวหมด ก็ใช้ได้เลย หรือจะแบ่งใช้ภายในหกเดือนก็ทำได้

-มีเสียงทักท้วงว่าที่พรรคเพื่อไทย ประมาณการว่าจะเก็บภาษีหลังทำนโยบายดังกล่าว เช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลประมาณหนึ่งแสนล้านบาท ตรงนี้มีหลักประกันอะไรว่าจะเก็บได้ขนาดนั้น?

เราตั้งเงื่อนไขไว้อย่างหนึ่งว่า คนที่จะขึ้นเงินได้ ต้องเป็นร้านค้าในระบบภาษี นั่นหมายถึงว่า หากคนนำเงินดังกล่าวไปซื้อเนื้อหมูเนื้อไก่ในตลาด ซื้อก๋วยเตี๋ยวในตลาด ทางร้านก๋วยเตี๋ยว ก็ได้เงินส่วนนี้ไป ได้เงินไปเสร็จ ถามว่าเขาขึ้นเงินได้ไหม ก็ต้องถามต่อว่า ร้านดังกล่าวอยู่ในระบบภาษีหรือไม่ ถ้าอยู่ก็ขึ้นเงินได้ ถ้าไม่อยู่ก็ขึ้นเงินยังไม่ได้ เขาก็ต้องไปใช้ต่อ ใช้ไปใช้มา ไปเข้าห้างร้านต่างๆ ที่อยู่ในระบบภาษี แบบนี้ก็ค่อยนำมาขึ้นเงินได้

เหตุที่เราต้องระบุเงื่อนไขนี้ไว้ว่าคนที่จะขึ้นเงินได้ ไม่ใช่ นายก. - นายข.ใครก็จะมาขึ้นเงินกันได้ทุกคน ก็เพราะ เราไม่อยากให้นายก. นายข. รับเงินไปหนึ่งหมื่นบาท แล้วก็นำมาแลกเป็นเงินบาทเลย แบบนี้มันก็ไม่เกิดเงินหมุน ไม่เกิดการใช้จ่าย และที่เราบอกว่าต้องเป็นร้านค้าในระบบภาษี ก็เพราะอย่างน้อย เราอยากให้เก็บภาษีได้หนึ่งต่อ เพราะอย่างไรเสีย คนก็ต้องนำเงินไปซื้อของในห้างร้านที่อยู่ในระบบภาษี ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นห้างร้านใหญ่ เป็นร้านธรรมดาก็ได้ แต่อยู่ในระบบภาษี มีการจดทะเบียนนิติบุคคลต่างๆ

-แต่อย่างการดำเนินโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าช่วงท้าย ๆของโครงการ หลายร้านที่เคยรับโครงการคนละครึ่ง ก็ปฏิเสธเข้าร่วมโครงการ เหตุเพราะโดนเก็บภาษีจากที่ไม่เคยเสียภาษีเลย จะมีผลต่อนโยบายนี้หรือไม่?

อันนี้ตรงไปตรงมา ผมคิดว่าคนไทยทุกคน ถ้ามีรายได้ก็เป็นหน้าที่ของคนไทยที่ต้องเสียภาษี คือโครงการนี้เมื่อทำแล้ว เงินจำนวนมหาศาล จะลงไป ที่หมายถึงว่าหากร้านค้า อยู่ในระบบภาษี ทุกคนจะวิ่งมาหาคุณ ตรงนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่ทำให้คนเข้ามาในระบบภาษีมากขึ้น เราจะสร้างฐานภาษีที่ใหญ่ขึ้น

-ที่เคยแถลงไว้ว่า หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาลโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล จะทำได้ 1 มกราคม 2567 ตรงนี้ให้หลักประกันได้ว่าทำได้?

กระบวนการทำ ก็ต้องมีการเตรียมเรื่องของระบบ เรื่องของหน่วยงานที่จะบริหารจัดการ แต่เรามีการคุยเรื่องของเทคนิคไว้แล้วว่าสามารถทำได้ ใช้เวลาไม่นาน ส่วนระยะเวลา วันที่ 1 มกราคม ก็เป็นระยะเวลาที่ดีในการให้ของขวัญปีใหม่ แต่ในช่วงของสงกรานต์(ปี 2567 )ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีอีกเช่นเดียวกัน เพราะสงกรานต์ทุกคนกลับบ้านโดยธรรมชาติอยู่แล้ว หากประชาชนมีเงินกลับบ้านหนึ่งหมื่นบาท มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน ได้เงินเสร็จทุกคนกลับบ้าน เป็นของขวัญปีใหม่ไทย กลับไปแบบมีเงินใช้ มีการนำใช้แถวบ้าน เกิดการหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจ ก็เป็นแนวคิดที่ดี อันนี้ก็อยู่ในช่วงระหว่างการชั่งใจ แต่ในเรื่องของเทคโนโลยี-เรื่องของระบบ ก็คิดว่าช่วงเวลาดังกล่าวก็น่าจะเหมาะสม ก็คือจะมีสองช่วง ปีใหม่สากล กับปีใหม่ไทย สงกรานต์

-ที่คนในเพื่อไทยบอกว่า ในส่วนของงบที่ทำโครงการดังกล่าว หากไม่พอก็อาจต้องมีการไปตัดงบกองทัพ?

เราก็ต้องเข้าไปดูว่างบในส่วนไหนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เราก็จะปรับมาใช้ในส่วนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการดำเนินนโยบายดังกล่าว คิดว่าเราตอบได้ทุกคำถาม เราคิดว่าไม่มีประเด็นที่จะเป็นข้อโต้แย้งที่ทำให้เราจะไม่เดินต่อ เรายืนยันเดินต่อ

สำหรับเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเบื้องต้นที่พรรคเพื่อไทยประกาศออกไป เราคิดว่ามันเป็นความซ้ำซ้อนระหว่างสิ่งที่เราให้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีความซ้ำซ้อนกันอยู่ ในช่วงแรก เราเลยมีความคิดว่า ในเมื่อเป็นความซ้ำซ้อน เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ เราก็ควรใช้สิ่งที่ดีกว่า แต่เราไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่เราจะทำให้คนมีรายได้สูงขึ้น จนกระทั่งเขาไม่เข้าเงื่อนไขบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเอง ยืนยันว่าเพื่อไทย ไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนไม่จำเป็นที่ต้องเลือก แต่เราจะทำให้คนมีรายได้เยอะขึ้น รวยขึ้น ด้วยนโยบายเศรษฐกิจของเรา จนทำให้คนเลยเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปเอง เราไม่ยกเลิก ประชาชนไม่ต้องเลือก แต่เราจะทำให้คนมีรายได้สูงเกินเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

เชื่อมั่นเพื่อไทยแลนด์สไลด์

ตั้งเป้าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 45ที่นั่ง

-หากเพื่อไทยเข้าไปเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง จะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาดีได้ภายในเวลาเท่าใด?

เราตั้งเป้าสี่ปี พรรคประกาศว่าวิสัยทัศน์ปีพ.ศ. 2570 ประเทศจะมีเศรษฐกิจที่โตเฉลี่ยปีละห้าเปอร์เซ็นต์อย่างน้อย จะมีค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท เราจะมีบทใหม่ของประเทศไทยห้าด้าน เช่น บทใหม่ด้านการลงทุน-บทใหม่ด้านการศึกษาและแรงงาน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คิดว่าภายในสี่ปี จะเห็นหน้าเห็นหลัง

-ในฐานะเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยด้วย จนถึงตอนนี้ยังมั่นใจ หรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทย จะชนะแลนด์สไลด์?

พรรคเพื่อไทยเข้มแข็งจากกระแสที่มาจากความมั่นคงของพรรคจริงๆ ไม่ใช่มาจากกระแสวูบวาบ แต่มาจากกระแสที่มาจากความมั่นใจในตัวพรรค -ตัวผู้บริหารพรรค-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย รวมถึง ความมั่นใจในนโยบายพรรค จึงเป็นความมั่นใจที่ไม่ได้วูบวาบ ไม่ได้เลือกตามแฟชั่น ตามกระแส แต่เป็นการเลือกตามความพร้อมของพรรคเพื่อไทย เลือกจากพรรคที่เป็นความหวังสำหรับอนาคตจริงๆ เลือกแบบผู้ใหญ่

โดยหากเพื่อไทยได้เสียงเกิน 250 เสียง ผมคิดว่า สมาชิกวุฒิสภาไม่กล้าทำอะไร และเราก็จะสามารถทำให้อำนาจเก่าๆ เป็นฝ่ายเก่าที่บริหารประเทศมาตลอดแปดปี หมดไป 250 เสียง จึงเป็นเป้าหมายและจุดมุ่งหมายสำคัญ แต่ปัจจุบันจากที่เราประเมินกันภายใน และโพลจากภายนอก เราคิดว่าเราผ่านเลข 250 เสียงไปพอสมควร ไปไกลแล้ว เป้าหมายของเราคือ 310 เสียง ในการทำงานของพรรคในระดับต่อไป ที่ก็เป็นเป้าหมายที่เราคิดว่าเราน่าจะถึง สำหรับในส่วนของส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพยายามจะทำให้ถึง 45-50 ที่นั่ง เราพยายามจะทำตรงนั้นให้ได้

5 บทใหม่ประเทศไทย

พลิกฟื้นเศรษฐกิจ-สร้างฐานรากประเทศ

เผ่าภูมิ-กรรมการนโยบาย และกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย -ผู้อำนวยการศูนย์นโยบาย พรรคเพื่อไทย” กล่าวลงรายละเอียดถึง นโยบายสำคัญๆของพรรคเพื่อไทย ที่เป็น 5 บทใหม่ประเทศไทยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ สำหรับพรรคเพื่อไทย คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ หลังช่วงแปดปีที่ผ่านมา แทบไม่มีการสร้างอะไรให้กับประเทศไทยเลย มีแต่ความเสื่อมโทรม การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศว่าเราจะเดินต่อไปทางไหน หรือเราจะย่ำอยู่กับที่

สำหรับนโยบายของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่พรรคนำส่งต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมีร่วม 70 กว่านโยบาย โดยหากแบ่งหมวดหมู่ ถ้าด้าน"เศรษฐกิจ"ก็จะแบ่งออกได้เป็น 5 หมวดหมู่ ที่เป็น"บทใหม่ของประเทศไทย"

เริ่มที่บทแรก คือ"บทใหม่ของการลงทุนในประเทศไทย"โดยอดีตที่ผ่านมา เราจะมีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI)เข้ามาลงทุนโดยมีการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยไม่ได้เชื่อมอะไรกับเศรษฐกิจในประเทศ เราก็ไม่ค่อยได้อะไร แต่ต่อจากนี้ หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ประเทศไทยจะเปิดเสรีมากขึ้นและใช้การทูตเชิงรุกเข้าหาตลาดให้กับประเทศ ทำให้เราจะได้เห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่เชื่อมกับโลกมากขึ้น ส่วน การลงทุนตรงจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย เราทำใหม่ เราจะนำ  FDI ที่เข้ามาเชื่อมกับธุรกิจ SME ของเราโดยให้ SME เป็นสายการผลิตของธุรกิจต่างๆ ที่เข้ามาลงทุน และให้มีการเชื่อมกับตลาดแรงงาน การจ้างงานของประชาชนในประเทศ

โดยเราจะให้มีการเปิดเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่ง คือที่กรุงเทพฯ- ขอนแก่น-หาดใหญ่-เชียงใหม่ โดยจะผลักดันให้มีกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ออกมารองรับเขตธุรกิจใหม่ดังกล่าว ที่จะเป็นกฎหมายที่จะแก้ไขอุปสรรคการค้า-การลงทุน เช่นเรื่องที่ดิน ภาษี ใบอนุญาต เพื่อให้การทำธุรกิจต่างๆ ง่ายขึ้น เพื่อให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยไม่มีข้อจำกัดอะไร นอกจากนี้เรายังมีเรื่องของ"สิทธิประโยชน์ใหม่"เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในไทย รวมถึงการมีเรื่องของ Ecosystems การทำสภาวะแวดล้อมต่างๆ ให้เหมาะสมสำหรับการลงทุน เช่นการมีเมืองมหาวิทยาลัยที่สามารถผลิตแรงงานขึ้นมาเพื่อป้อนแรงงานรองรับการลงทุนดังกล่าว -การมีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อให้ความสำคัญกับเรื่องของ ธุรกิจ SME โดยที่ผ่านมา จะมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุน แต่ที่ผ่านมา มักจะใช้วิธีการเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ที่มันไม่แก้ปัญหา เพราะสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแม้ดอกเบี้ยจะต่ำจริง แต่ปัญหาของ ธุรกิจ SME ไม่ใช่เรื่องของราคา แต่เป็นเรื่องของการเข้าถึง เราจึงเสนอกลไกที่เรียกว่า"การค้ำประกันสินเชื่อ"เพื่อทำให้สินเชื่อของธุรกิจ SMEมีความเสี่ยงต่ำลง โดยการใช้กลไกผ่าน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)เพื่อทำให้SME เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น โดยรัฐค้ำประกันความเสี่ยงของสินเชื่อดังกล่าว โดยใส่งบประมาณเข้าไปเพื่อให้รัฐค้ำประกันความเสี่ยงได้เยอะขึ้น และเข้าไปดูเรื่องกลไกให้มีประสิทธิภาพ ที่จะทำให้ SME มีความเสี่ยงน้อยลงในสายตาแบงค์พาณิชย์ ก็จะทำให้ SME เข้าถึงสินเชื่อได้เยอะขึ้น อันเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุ เป็นต้น

..เรื่อง SME พรรคเพื่อไทยยังเข้าไปดูเรื่องของต้นทุนการผลิตต่างๆ เช่นเรื่อง"ค่าไฟฟ้า"ที่พรรคเสนอสี่เรื่อง คือ หนึ่ง เราจะเข้าไปรื้อสัดส่วนการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติ เข้าไปรื้อเรื่องโครงสร้างราคา รื้อเรื่องกำลังการผลิตส่วนเกิน และเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อน และอีกเรื่องหนึ่งที่จะทำคือ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศ จะต้องทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ"เซลล์แมน"คือเอาของที่ประเทศเรามี เอาไปขาย ต้องเป็นนักการตลาดเชิงรุก ไม่ใช่เราคนเข้ามา ทั้งหมดคือบทใหม่ของการลงทุนของประเทศ จะทำให้เราเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดขึ้น จะเห็นเขตธุรกิจใหม่ การเข้าไปช่วย SME และบทบาทใหม่ในการทำงานเชิงรุกเรื่องการทูตและการค้าของประเทศ

เดินหน้าตอกเสาเข็ม เศรษฐกิจดิจิทัล

"ดร.เผ่าภูมิ"กล่าวต่อไปว่า สำหรับหมวดที่สอง คือเรื่อง"บทบาทใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล"โดยพรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายตอกเสาเข็มสองต้น ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล อันแรกคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้กับประเทศ อันที่สอง สร้างคนยุคดิจิทัลให้กับประเทศ เช่นนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินครั้งใหญ่ให้กับประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน โดยใส่เงินหนึ่งหมื่นบาทเข้าไปให้ประชาชน เพื่อทำสองวัตถุประสงค์คือ หนึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สอง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับคนเกือบทั้งประเทศ มาใช้ระบบบล็อกเชน ทำให้หลังจบโครงการ ประเทศไทยก็จะมีทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม คนที่พร้อมแล้วเราก็จะเป็นประเทศที่พร้อมสำหรับระบบการเงินที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนดังกล่าว

นอกจากนี้เรายังมีนโยบายการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ฯของไทยให้เป็นตลาดคู่ขนาน โดยใช้ SET INDEX ตลาดหลักทรัพย์ฯปัจจุบัน ในการระดมทุนในเรื่องของธุรกิจพื้นฐาน และเรายังสนับสนุนให้มีตลาดหลักทรัพย์อีกแหล่งหนึ่งที่เป็นการระดมทุนใน Digital Asset เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยให้สองขานี้ เดินไปด้วยกัน นอกจากนี้เรายังสนับสนุนให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถดึงการลงทุนจากตลาดต่างชาติ -บริษัทขนาดใหญ่ ให้มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในประเทศไทย และสนับสนุนให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปช้อน sme ที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนให้สามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ด้วย

ส่วนการสร้างคนยุคดิจิทัล  พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบาย หนึ่งตำบล หนึ่ง IT man  คือการกระจายคนที่มีความรู้ด้านดิจิทัล ให้กระจายอยู่ทั่วประเทศ เราสนับสนุนให้ทุกตำบลมีคนๆนี้ เพื่อกระจายองค์ความรู้เรื่องดิจิทัล เริ่มจากตำบลก่อน เพื่อให้กระจายตัว ไม่กระจุกตัว นอกจากนี้เราสนับสนุนเรื่อง CBDC สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง

"กรรมการนโยบาย และกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย -ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย"กล่าวต่อไปว่า ด้านที่สาม "บทใหม่ของการศึกษา"เราจะให้มีการเปิดแพลตฟอร์มกลางของประเทศไทย ที่ชื่อ แพลตฟอร์ม Learn to Earn โดยเป็นแพลตฟอร์มใหญ่ในระบบออนไลน์โดยเชื่อมสามภาคส่วนเข้าด้วยกันคือ"ภาคเอกชนหรือนายจ้าง -ภาคลูกจ้างและภาคการศึกษา"ให้เชื่อมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพราะที่ผ่านมา แต่ละภาคส่วนเช่นภาคการศึกษา จะพบว่าผลิตนักศึกษาออกมาโดยไม่ตรงกับสิ่งที่ภาคเอกชนต้องการ เราจึงคิดว่าทำไม ไม่ให้ภาคเอกชนร่วมออกแบบการศึกษาได้ด้วย อย่าง นายก.เป็นเจ้าของบริษัท เขาก็จะรู้ว่าบริษัทของเขาต้องการพนักงานที่มีความรู้ด้านใดมาทำงานในบริษัท นายก.ก็ระบุมาเลยว่าอยากได้คนแบบไหน ตรงนี้ก็จะกลายมาเป็นหลักสูตรให้คนมาเรียน พอเรียนจบก็สามารถไปทำงานได้เลย ก็ได้แรงงานที่ตรงกับความต้องการของตลาด

ส่วนเมื่อเรียนจบ ถามว่าทำไมยังต้องให้เชื่อมระหว่างภาคแรงงานกับเอกชน ก็เพราะที่ผ่านมา หากันไม่เจอ เช่น บางบริษัท อยากหาแรงงานในบริษัทที่เก่งบางด้าน แต่หายังไงก็หาไม่เจอ เช่นเดียวกับ แรงงานที่มีทักษะเก่งด้านดังกล่าว แต่ที่ผ่านมา เขาก็หาเจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการไม่เจอเหมือนกัน เพราะไม่มีแพลตฟอร์มกลางให้มาเจอกัน แต่หากมีแพลตฟอร์มนี้ จะทำให้มีการเชื่อมกับภาคการศึกษา เพื่อให้ผลิตแรงงานที่บริษัทต้องการ และหากบริษัทอยากหาแรงงานที่มีทักษะตรงกับที่บริษัทต้องการ เขาก็หาได้จากแพลตฟอร์มดังกล่าวเพราะทุกคนอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกันหมด ก็สามารถกดคลิกเดียวก็เจอกันเลย ที่เรียกว่า JOBS Matching สิ่งนี้คือระบบการศึกษาใหม่ที่จะเกิดขึ้น ในรัฐบาลเพื่อไทย

นอกจากนี้เรายังสนับสนุนการลดเวลาเรียนของระบบการศึกษา จากปัจจุบันที่เราใช้เวลาในการเรียนระดับประถมศึกษาหกปี มัธยมศึกษาหกปี ปริญญาตรีสี่ปี เราไปทำการศึกษามาแล้วว่าเราสามารถลดเวลาเรียนชั้นประถมได้เหลือห้าปี มัธยมศึกษาเหลือห้าปี ปริญญาตรีเหลือสามปี หากลดตรงนี้จะทำให้เด็กจบปริญญาตรีในช่วงอายุ 18 ปี โดยมีความรู้เท่าเดิม ไม่ได้สูญเสียอะไร เพราะจริงๆ มีวิชาที่ไม่จำเป็นต้องเรียนอีกเยอะ ทำให้คนเข้าสู่ตลาดแรงงานเร็วขึ้น ช่วยสังคมสูงวัยด้วย เพราะเราขาดแคลนแรงงาน เราผลิตนักศึกษาออกสู่ตลาดแรงงานได้ช้า คนเกิดก็น้อย ตรงนี้จะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยให้ตลาดแรงงานเราใหญ่ขึ้น

นอกจากนี้ พรรคมีนโยบายเพิ่มทักษะแรงงาน ผ่าน 4 กลไก คือ หนึ่ง การอัพสกิล สอง การรีสกิล สาม การจับคู่สกิล อย่างที่ทำผ่านแพลตฟอร์ม Learn to Earn ที่กล่าวข้างต้น ที่จับคู่สกิล จับคู่ความรู้ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งภาคแรงงาน ภาคการศึกษา และภาคเอกชนให้มาเจอกัน เอามาจับคู่กัน และสี่ การค้นหาสกิล คนหาทักษะที่อยู่ในคน เรามีโครงการที่เรียกว่า นโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ ซอฟพาวเวอร์’ ที่เป็นการเข้าไปค้นหาศักยภาพของคนแบบรายครัวเรือนเลยว่าคุณมีความสามารถอะไร เช่นคุณมีความสามารถเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์อะไร เช่น เป็นกุ๊ก เป็นนักแสดง เราก็เข้าไปค้นหา ไปศึกษา แล้วมาฟูมฟัก แล้วเติมทุนให้ จัดเรื่องการตลาดให้เขา ทั้งหมดเป็นการมองแบบครบวงจร ที่เป็นบทใหม่ของการศึกษาและมีเรื่องของภาคแรงงานผสมเข้ามาด้วย

ดันไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค

สร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมเขตธุรกิจใหม่

"เผ่าภูมิ"กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่สี่คือ "บทใหม่ของระบบคมนาคมของประเทศ"โดยเราจะวางโครงสร้างระบบพื้นฐานของคมนาคมครั้งใหญ่ เช่น เราจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยการใช้ระบบของหลายสนามบินรวมกัน แต่ก่อน เราใช้สนามบินสุวรรณภูมิแห่งเดียว แต่ต่อไปเราจะใช้หลายสนามบินเป็นฮับด้วยกัน ทั้งที่เชียงใหม่-ขอนแก่น-สุวรรณภูมิ เป็นอีกโมเดลหนึ่งที่ไม่ได้มากระจุกตัวอยู่ตรงกลาง แต่ให้ที่เชียงใหม่และขอนแก่นมาเป็นตัวช่วยในเรื่องของการเป็นฮับการบินของภูมิภาค

นอกจากนี้เราจะให้มีการสร้าง"รถไฟความเร็วสูง"เชื่อมไปที่เขตธุรกิจใหม่สี่แห่งที่บอกไว้ข้างต้น โดยให้เชื่อมไปกับเขตธุรกิจที่เชียงใหม่ -ขอนแก่น-หาดใหญ่ ที่จะเป็นการสร้างเมือง สร้างหัวเมือง แล้วก็สร้างรถไฟความเร็วสูงให้ไปเชื่อมกับหัวเมืองดังกล่าว นอกจากนี้จะให้มีการสร้าง"รถไฟขนส่งสินค้า"เชื่อมไปยังประเทศจีนแล้วมาออกสู่ท่าเรือแหลมฉบัง เพราะจีน พยายามหาทางออกทะเลอยู่ เพื่อกระจายสินค้าเขาออกสู่ทะเล ดังนั้น ใครก็ตามที่เป็นทางขนส่งสินค้าของจีนออกสู่ทะเลตรงนี้คือประโยชน์มหาศาล เราเห็นตรงนี้ ก็เลยจะสร้างรภไฟขนส่งสินค้าจากแหลมฉบังขึ้นไปเชื่อม เพื่อเชื่อมกับจีนที่เป็นตลาดที่ใหญ่มาก

สำหรับบทใหม่ประเทศไทยด้านสุดท้าย "เผ่าภูมิ"บอกว่า คือ "บทใหม่ของการท่องเที่ยวไทย" โดยพรรคตั้งเป้ารายได้จาการท่องเที่ยว3 ล้านล้านบาทต่อปี โดยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้มีความสม่ำเสมอตลอดปี จากปัจจุบัน ไตรมาสหนึ่งกับไตรมาสสี่ คือช่วงที่รายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามามหาศาล แต่ไตรมาสสองกับไตรมาสสามเงียบเหงามาก เพราะเป็นช่วงของโลว์ซีซั่น แต่เราไปค้นพบศักยภาพของตลาดที่ตะวันออกกลาง และอินเดียที่เขาชอบท่องเที่ยวกันช่วงไตรมาสสองกับไตรมาสสาม แล้วก็มีธุรกิจการจัดงานต่างๆ เช่น การแต่งงาน ที่จะดึงคนกลุ่มนี้เข้ามาที่มีจำนวนเยอะมาก เราจะทำการตลาดเชื่อมกับตะวันออกกลาง เพื่อทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวของเราสมูธทั้งสี่ไตรมาส ที่จะทำให้เรามีรายได้เข้ามาตลอดปี

เรื่องการท่องเที่ยว เราก็จะไปดึงดูดในเรื่องการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก ให้คนมาท่องเที่ยวแล้วมารักษาพยาบาลไปพร้อมๆกัน โดยคนที่ป่วยเป็นโรคอะไรต่างๆ เข้ามารักษาในประเทศ แล้วก็ท่องเที่ยวไปด้วย รวมถึงการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของผู้สูงวัย ที่เข้ามาพำนักและท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบระยะยาว โดยคนกลุ่มนี้มีรายจ่ายต่อหัวสูง มีกำลังทรัพย์เยอะ เป็นคนสูงวัยที่เข้ามาแล้วอยู่นาน รวมถึงการให้มีการเปิด"ภาคบริการสมัยใหม่"เช่นการบริการด้านบัญชี บริการด้านวิศวกร บริการด้านสถาปัตย์ ฯ เป็นการขายบริการโดยที่ไม่ต้องมาเจอหน้ากันเลย เช่น คนไต้หวันอยากใช้บริการจากประเทศไทย ด้วยการให้บริษัทคนไทยช่วยออกแบบตึกให้ โดยในประเทศไทยก็มีบริษัทที่มีความสามารถในการออกแบบตึก ก็ทำงานให้โดยการส่งแบบตึกให้ไป โดยไม่ต้องเจอหน้ากัน โมเดลนี้ ที่อินเดียใช้เยอะ และเราเห็นช่องว่างในการพัฒนา เพราะประเทศเรามีศักยภาพเยอะ เราเก่งกันมากเรื่องบัญชี สถาปัตย์ฯ -วิศวกร -การแพทย์ -การศึกษา เราขายบริการเหล่านี้ผ่านออนไลน์ไป

"ทั้งหมดคือบทใหม่ประเทศไทย ที่เป็นบทใหม่หลายเรื่อง ทั้งบทใหม่ด้านการลงทุน บทใหม่ด้านเศรษฐกิจดิจิตทัล บทใหม่เรื่องการคมนาคมขนส่ง บทใหม่เรื่องการศึกษาและภาคแรงงาน และบทใหม่เรื่องการท่องเที่ยว"

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.เริ่มขยับ พร้อมงัด 'กฎเหล็ก' คุมเข้มเลือก สว. 2567

ความเคลื่อนไหวการได้มาซึ่ง "สมาชิกวุฒิสภา" (สว.) ชุดใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา

พนัส อดีตสว.-อดีตสสร. คัดเลือกสภาสูง 2567 ฝ่ายประชาธิปไตยมีสิทธิลุ้น

ความเคลื่อนไหวการได้มาซึ่ง"สมาชิกวุฒิสภา"(สว.) ชุดใหม่ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ....

อย่าใหญ่เกินธรรมชาติ .. พ่อมหาจำเริญ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. ภาวะโลกร้อน (Global warming) .. อันเกิดเนื่องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังอยู่ใต้ห้วงวิกฤตการณ์อันเนื่องจากการกระทำของคนเรา

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า.. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะที่เข้าสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน.. ด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติปกติ (Climate Change) อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษยชาติ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จึงได้ถือโอกาสคิดทำโครงการนำพระคืนสู่ป่า.. เพื่อศึกษาวงจรธรรมชาติของชีวิตที่เนื่องกับสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความสมดุล (Nature Cycle in Balance)